เมียหลวงเมียน้อย สำนึกผัวเดียวเมียเดียว


สำนึก “ผัวเดียวเมียเดียว”


       แน่นอนว่าเวลาพูดถึงเรื่องผัวๆ เมียๆ และการนอกใจ คนที่จะลืมนึกถึงไปไม่ได้เลยก็คือ ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข เจ้าของคอนเซ็ปต์ “ผัวเดียวเมียเดียว” แห่งประเทศไทย เธอยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำว่าปัญหาคบชู้ในระบบราชการมีมานานและแก้ไม่หายเสียที เพราะทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ช่วยปกปิด-งุบงิบกัน        
       
       “พี่ทำงานด้านสังคม เห็นมาตลอดว่ามีเมียหลวงมาร้องต่อผู้บังคับบัญชา ให้ระบบข้าราชการช่วยจัดการ แต่ผู้ใหญ่เขาสอบแล้วช่วยกัน ผลก็เลยออกมาไม่มีมูล ไม่มีความผิด จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงว่า ถ้าผู้บังคับบัญชาคิดว่าการมีเมียน้อยเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องนี้ก็จะไม่มีวันได้รับการแก้ไขเลย ก็จะมุบมิบกันไปเรื่อยๆ ช่วยกันไป เพราะตัวผู้บังคับบัญชาก็มี ลูกน้องก็มี ทั้งที่จริงๆ แล้วการกระทำแบบนี้เป็นความผิดร้ายแรง ผิดวินัยถึงขั้นให้ออกแบบไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญเลยนะคะ เพราะฉะนั้น ต้องมีการลงโทษกันอย่างจริงจัง สังคมไทยถึงจะกลัว ไม่ทำเป็นเยี่ยงอย่าง        
       
       พี่ขอตำหนิความคิดเห็นของผู้ใหญ่ที่คิดว่าพฤติกรรมไร้ศีลธรรมในเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดา คนระดับผู้บริหารองค์กร-บริหารหน่วยงานได้ ถ้ามีแนวความคิดเช่นนี้แล้ว มันหมายความว่ามีความเมตตาต่อมนุษย์มันน้อยลง ศีลธรรมตกต่ำ พูดได้ยังไงว่าผมเองยังมีตั้ง 7 คน ยังไม่เป็นอะไรเลย คิดแบบนี้ แล้วคุณจะมาปกครองลูกน้องได้ยังไง สังคมมันก็ชั่วไปหมด มีเงินเยอะๆ ก็เอาไปข่มขืนเด็ก เด็กอายุ 10 กว่าขวบ มองเห็นรุ่นหลานรุ่นเหลนกลายเป็นยาชูกำลังไปหมดแล้ว นี่ถ้าเรื่องนี้ไม่ดังมาเข้าหูสื่อมวลชน ก็จะไม่เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมา และคงไม่ได้รับการแก้ไข”        
       
       มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว ข้าราชการเอาเมียน้อยเข้าไปพักในอุทยานฯ แล้วเมียหลวงตามมาทวงสิทธิ เกิดการตบตี ทะเลาะเบาะแว้ง กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาภายในหน่วยงานนั้นๆ เหตุการณ์แบบนี้คุณระเบียบรัตน์แนะนำว่าให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษให้สาสม ไม่ควรมาเข้าข้างฝ่ายชายด้วยกันด้วยคำพูดที่ว่า สามีอยู่ไกลบ้านก็เลยเหงา ต้องมีเมียน้อย “พูดแบบนี้ก็เท่ากับส่งเสริมให้คนประพฤติชั่ว คือถ้าคุณไม่มีคุณธรรม ก็อย่ามารับตำแหน่งที่ใหญ่โตเลยดีกว่า”         
       
       ส่วนแนวความคิดการโยกย้ายคุณสามีกลับมารับราชการที่บ้านนั้น เธอเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผลทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอย่างไรเสีย ถ้าคนจะนอกใจ ถึงจะย้ายมาใกล้บ้านแค่ไหนก็ยังทำได้ “แต่พอมีมาตรการออกมาแบบนี้ ทำให้เห็นไปเลยว่าถ้าคุณประพฤตินอกใจก็จะถูกย้ายให้ไปอยู่ใกล้ครอบครัว ถือเป็นการคาดโทษให้เห็นชัดๆ และอย่างน้อย โซ่ทองคล้องชีวิต เมียหรือลูกก็อาจจะดึงพ่อกลับมาได้เหมือนเดิมถ้าได้อยู่ใกล้กัน”        
       
       ถึงแม้ปัญหาเรื่องการมีชู้-มีกิ๊ก-นอกใจ-มีบ้านเล็กบ้านน้อย อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แถมยังสร้างความเคยชินในสังคมไทยมาเนิ่นนานแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรมองมันอย่างชินชาและเฉยเมย เพราะปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ใหญ่ระดับประเทศ

       เมื่อส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในสังคมอย่าง “ครอบครัว” แตกแยก ลูกๆ ก็ย่อมขาดความอบอุ่น กลายเป็นเด็กมีปัญหา หันไปเสพยา ออกไปตามหาความรักข้างนอก เกิดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ฯลฯ และอีกมากมายหลายหลากเรื่องแย่ๆ ที่พร้อมจะถาโถมเข้ามา จึงอาจถึงเวลาที่ควรปฏิรูปความคิดกันเสียใหม่ อย่างน้อย “เจ๊เบียบ” ของทุกคนก็ขอฝากถ้อยคำทิ้งท้ายเอาไว้ให้ระดับผู้บังคับบัญชาพึงระลึก ในฐานะข้าราชการคนหนึ่ง
       
       “บุคคลธรรมดา ถ้าจะให้งดงามต้องมีศีลห้า แต่ข้าราชการต้องมีคำว่า “ระเบียบ” และ “วินัย” เพิ่มเข้าไปด้วย การประพฤตินอกใจคู่สมรสเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษถึงขั้นปลดออก-ให้ออก โดยไม่มีบำเหน็จบำนาญ โดยเฉพาะ ถ้าคุณคือข้าราชการระดับสูง ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งมาแล้ว สิ่งที่คุณยิ่งต้องมีมากกว่าคนอื่นๆ ก็คือ สำนึก”


อ่านต่อเรื่องที่เกี่ยวข้อง

-สัมมนา พาขึ้นเตียง

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น