“ทหารไทย” หัวใจนายหล่อมาก!!

ทหารกล้าของไทย

กลายเป็นอีกหนึ่งวีรกรรมสุดแสนประทับใจ ประดับเอาไว้บนโลกออนไลน์ ผู้คนพร้อมใจกันแชร์ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อ “เหล่าทหารกล้า” กันอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะบนเฟซบุ๊กตลอดช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ “ฮีโร่ในเครื่องแบบ” ทั้ง 5 นาย กระโจนเข้าช่วยคุณป้าซึ่งขับรถพุ่งลงไปในน้ำลึกอย่างไม่รั้งรอ โดยไม่กลัวว่าเครื่องแบบเนี้ยบๆ ที่ใส่มานั้นจะเลอะน้ำ-เปื้อนโคลนขนาดไหน 
       เพราะในหัววินาทีนั้น สิ่งที่เขาคิดอยู่อย่างเดียวคือ “แค่อยากช่วยเหลือให้คุณป้าปลอดภัยครับ และผมก็เชื่อว่าถึงพวกเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น คนอื่นที่เห็นก็ต้องช่วยอยู่ดี” 


      นาทีระทึก!
       นายทหารหาญเหล่านี้ เขาเป็นใครกัน? หลายคนสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันที เมื่อได้เห็นภาพสดุดีวีรกรรมนายทหารช่วยคุณป้าที่ขับรถพุ่งลงน้ำอย่างไม่ลังเล ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงค่อยๆ ได้รับการเผยแพร่-เพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้นๆ เรื่อยๆ เริ่มจากเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเหตุเกิดในคูน้ำลึกซึ่งขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดแห่งหนึ่ง บริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯ บางเขน เมื่อเย็นวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา 
        
       
       ผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างเล่าต่อๆ กันว่า ทันทีที่เกิดเหตุ พวกเขากระโจนลงไปช่วยคุณป้าโดยไม่เกรงกลัวว่าเครื่องแบบเนี้ยบๆ ที่ใส่มาร่วมงานศพเพื่อนจะเปียกน้ำเลยแม้แต่นิดเดียว ข้อมูลเหล่านี้จึงยิ่งสร้างระดับความประทับใจให้แก่ผู้ที่ได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นไปอีก อยากรู้ว่าจริงๆ แล้ววินาทีนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่? 
       งานนี้นอกจากรู้รายนามคนที่ควรได้รับการยกย่องจากสังคมจากความดีในครั้งนี้ว่าได้แก่จ.ส.อ.วิเชียร ประชาเขียว, จ.ส.อ.วิฑูรย์ เอกจำนงสกุล, ส.อ.ดนัย คำใส, ส.อ.วุฒิชัย เขียวสวาท และ ส.อ.ปัญญา สามงามยา แล้ว 
       เรายังได้พูดคุยกับ “จ่าเชียร” นายทหารผู้ตัดสินใจพุ่งตัวลงไปในน้ำลึกเป็นรายแรก และเป็นรายเดียวที่ไม่ถอดเครื่องแบบทหารออกสักชิ้น เรียกได้ว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มยศเลยทีเดียว
        
       
       “วันนั้นพวกผมมาร่วมงานศพเพื่อนร่วมรุ่นที่วัดพระศรีฯ ครับ แล้วก็ได้ยินเสียงรถเร่งเครื่องเต็มที่ เสียงล้อตามมาดังเอี๊ยด! สักพักก็มีคนตะโกนว่ารถตกน้ำ ช่วยด้วยๆ พอดีพวกผมอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุก็เลยวิ่งเข้าไป ผมถึงก่อน ผมก็เลยกระโดดลงไปเลยครับ แล้วจ่าวิฑูรย์ก็กระโดดตามมาอีกคนนึง ตอนแรกที่ถึงรถ ผมก็พยายามเปิดประตู ดึงประตูบานหน้า-บานหลัง แต่ด้วยแรงดันน้ำเลยทำให้เปิดไม่ออก พอเพื่อนที่ยังอยู่บนฝั่งเห็นว่าเปิดไม่ได้ ก็เลยพยายามหาหินแล้วกระโดดตามลงมาช่วยเพิ่มอีก 3 คน 
         
       
       ระหว่างรอ ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว ตัวรถส่วนหน้าก็ค่อยๆ จมลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าช่วยถ่วงรถไว้หน่อยดีกว่า ก็เลยไปโหนท้ายรถให้หน้ารถเชิดขึ้นระหว่างรอเพื่อน ตอนนั้นไม่มีใครปรึกษาอะไรกันเลยว่าจะทำยังไง ทำตามสัญชาติญาณเลย พอได้ก้อนหินก็เอามาทุบกระจกแล้วก็พาคุณป้าออกมา มานั่งคุยกันถึงได้รู้ว่า คุณป้าท่านจอดรถไว้ที่ซองจอดปกตินี่แหละครับ มาเอารถ กะว่าจะถอยออก แต่ดันไปเฉี่ยวชนกับรถอีกคันนึง คุณป้าตกใจ กะจะเข้าเกียร์จอดแต่คงเลยเกียร์นั้นมาเกียร์หนึ่ง รถเลยเลื่อนมาข้างหน้าแทน” จ่าสิบเอกวิเชียรเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
         
       
       หลังจากเหตุการณ์สงบลง นายทหารทั้ง 5 ก็หอบชุดชุ่มน้ำขึ้นบก บางส่วนเดินทางเข้าร่วมพิธีต่อ บางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บจากกระจกบาดก็เดินทางไปตรวจเช็กร่างกายที่โรงพยาบาลและพาคุณป้าผู้ประสบเหตุติดรถไปตรวจด้วย ส่วนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ลงไปช่วยก็ได้แต่ถ่ายรูปเอาไว้ในมือถือบ้าง ถ่ายด้วยกล้องส่วนตัวบ้าง และนำมาโพสต์ในเฟซบุ๊กรุ่นและแชร์ต่อกันในเหล่าทหารด้วยกันเอง เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ตื่นเต้น ไม่คาดคิดว่าภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง รูปและเหตุการณ์เหล่านั้นจะได้รับการแชร์และส่งต่อมากที่สุดจนกลายเป็นประเด็นฮอตในอินเทอร์เน็ตตอนนี้อย่างที่จ่าเชียรเผยความรู้สึกด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตนเอาไว้ว่า
         
       “ไม่เคยคิดเลยว่าคนจะมารู้เยอะขนาดนี้ คิดแค่ว่าพวกผมอยู่ตรงนั้นและมีโอกาส ถึงพวกผมไม่ลงไปช่วย ทุกคนที่อยู่แถวนั้นก็น่าจะลงไปช่วยเหมือนกัน แต่เผอิญพวกผมอยู่ใกล้ ก็เลยมีโอกาสได้ทำสิ่งนี้ครับ”
       


       
       ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำดี 
       “จิตสาธารณะ หาได้ยากมากขึ้นในสังคมไทย นี่เป็นอีกหนึ่งความมีน้ำใจของคนไทย" Wirot Ngernpragayrat
        
       
       “คนดีมีอยู่ทุกๆ ที่ อย่าอายทำความดี... สู้ๆ ทหารของชาติ” Hale Blueboy
         
       
       “ขอยกย่องที่ทำความดี สมกับเป็นทหารของพระราชา ดูแลประชาชน” เพียงใจ ผ่อนผัน
         
       “ขอขอบคุณทหารไทยที่ใจหาญ ช่วยชาวบ้านที่ลำบากทุกข์ยากเข็ญ แม้เหน็ดเหนื่อยทหารไทยใจบำเพ็ญ สายบ่ายเย็นแม้ค่ำคืนยืนอดทน เป็นชาติชายทหารกล้าน่ายกย่อง หัวใจทองช่วยชาวไทยไม่หวังผล ขอสรรเสริญทหารไทยในสากล จงสุขล้นเกียรติยศปรากฏงาม” ตะราง บางกอก
        
       
       ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคอมเมนต์บางส่วนจากประชาชนชาวเฟซบุ๊กที่ทยอยกันเข้ามาแสดงความปลาบปลื้มใจไปกับวีรกรรมอันน่ายกย่องในครั้งนี้ และคาดว่าหลายต่อหลายคนจะยิ่งรู้สึกดีเป็นทวีคูณเข้าไปใหญ่ ถ้าได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงครั้งแรกแห่งการทำดี เพราะจ่าเชียร หนึ่งในวีรบุรุษในครั้งนี้เคยสร้างความดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เอาไว้มาก่อนแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่ไม่ตกเป็นข่าว ไม่ได้รับการกล่าวถึงแต่อย่างใด ทั้งที่คราวนั้นเขาต้องแลกมาด้วยอาการเจ็บหนักปางตายเลยทีเดียว!
         
       
       “เหตุการณ์นั้นนานมากแล้วครับ ตั้งแต่ 21 ก.ค.54 วันนั้นผมก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่โรงเรียนช่างกลแห่งหนึ่งตามปกติ แต่เผอิญมีกลุ่มวัยรุ่นวิ่งไล่เอามีดฟันกันเป็นกลุ่มใหญ่มาก ประมาณ 30 กว่าคน วิ่งไล่กันผ่านหน้าโรงเรียนเด็กอนุบาลด้วย ผมเห็นเขาวิ่งชนเด็กที่กำลังเดินเข้าประตูโรงเรียนล้มเลย คุณแม่เด็กก็ล้ม 
       ผมกลัวว่าไอ้คนที่ไล่ฟันกันอยู่จะวิ่งกลับมาเหยียบมาทับเด็ก ผมก็เลยเข้าไปช่วยเข้าไปกันไว้ ไม่ให้วิ่งมาทางนี้ แต่บังเอิญเขามีเหตุยิงกันด้วย ผมเลยโดนลูกหลงไป โดนลูกกระสุนยิงเข้าที่ใต้ตาผม จนทุกวันนี้กระสุนนัดนั้นยังฝังอยู่ในหัวผมอยู่เลย เพราะคุณหมอบอกว่ามันใกล้ผนังสมองเกินไป ผ่าตัดออกกลัวอันตราย ก็เลยต้องเอาไว้อย่างนี้ ตอนนี้ตาผมก็เลยต้องเห็นภาพซ้อนอยู่ตลอด
         
       
       จ่าเชียรต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลากว่า 4 เดือน เดินก็ไม่ได้เพราะบาดเจ็บจนกระทบต่อสมดุลร่างกาย“เดินเซตลอด เวลามองผมต้องเงยหน้าขึ้นจนคอตั้งเลยครับ ถึงจะมองเห็นพื้นถนน” แถมวันที่เกิดเหตุเป็นวันคลอดของภรรยาพอดีด้วย จึงทำให้เขาพลาดโอกาสเห็นหน้าในวินาทีสำคัญ ทั้งต้องเจ็บตัว เสี่ยงตาย แล้วยังไม่ได้รับการตอบแทนที่คู่ควร แต่จ่าก็ไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย ยังมองทุกอย่างในแง่ดี 
         
       
       “วินาทีที่รอดมาได้ พูดตรงๆ ผมก็ยังโทษตัวเองอยู่เลยว่า ถ้าเกิดผมเป็นอะไรไป แล้วลูกผมเมียผมจะอยู่ยังไง ผมคิดจริงๆ นะ แต่หลังจากนั้นก็มีทางลูกศิษย์บ้าง ทางคนรู้จัก ญาติๆ บ้างมาให้กำลังใจ ผู้บังคับบัญชาผมก็มาช่วยเหลือทางบ้านบางส่วน มันก็ทำให้เรารู้สึกมีค่าต่อสังคมขึ้นมา เด็กๆ ก็พูดถึงเราว่า นี่อาจารย์ผมนะ คนที่ไปช่วยคนมา ผมก็ดีใจ ยังคิดว่าตัวเองมีคุณค่าอยู่ ถึงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษมากกว่านี้ แต่ผมก็ได้รับรางวัลที่พิเศษที่สุด คือได้มีโอกาสอยู่กับลูกชายผม แค่นั้นผมก็ดีใจแล้วครับ”
        
       
       ปกติแล้วคนที่เคยได้รับประสบการณ์ร้ายๆ จากการช่วยเหลือคนอื่นมา พอเกิดเหตุการ์ให้ต้องเข้าไปพัวพันอีกครั้ง จะลังเล คิดหน้าคิดหลังว่าจะช่วยดีไหม แต่สำหรับจ่าเชียร ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดมาทำลายความดีในตัวเขาได้ เพราะเหตุการณ์ครั้งล่าสุดก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีแล้วว่า เขาพร้อมจะช่วยเหลือคนอื่นโดยแทบไม่คิดถึงชีวิตของตัวเองเลย 
        
       
       “มีพี่เขาถามเหมือนกันนะ บอกว่าเอ็งไปโหนท้ายรถแบบนั้น ถ้ารถมันจะจมลงไป มันอาจจะดูดเอ็งลงไปด้วยนะ น้ำมันลึกด้วย แต่วินาทีนั้นเราไม่ได้คิดหรอกครับ มันก็เหมือนตอนที่ผมโดนลูกหลง โดนยิง ผมเป็นผู้ประสบเหตุ ผมก็อยากจะให้คนอื่นช่วย พอเห็นคุณป้าท่านทุรนทุราย ผมก็อยากจะช่วยให้ท่านปลอดภัยเหมือนกัน ก็เลยพากันกระโจนลงไป ยังไม่ได้ทันคิดอะไรเลยครับ (พูดไปยิ้มไป) 
       แล้วผมก็เชื่อด้วยซ้ำว่าทุกท่านเคยทำความดีมาทั้งนั้น ถึงจะไม่มีโอกาสได้ถ่ายทอดออกมา แต่ความดีนั้นก็จะติดตัวท่านไปตลอด อย่างน้อยความสุขใจ ความภูมิใจ ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง
       


       
       จากใจ “ทหารของประชาชน” 
       ความชื่นชมในตัวทหารน้ำใจงามในวันนี้ช่วยให้สังคมส่งต่อเรื่องราวดีๆ และรอยยิ้มอันงดงามให้แก่กันได้ แน่นอนว่าคนที่รู้สึกปลาบปลื้มใจไปกับคำกล่าวที่ว่า “ทหารคือฮีโร่ในดวงใจของชาวไทย” ต้องรวมถึงเขาคนนี้ด้วย “ผู้พันเบิร์ด-พ.ท.วันชนะ สวัสดี” ในฐานะที่ทหารอีกนายหนึ่งที่มีเรื่องดีๆ นำเสนอออกสู่สังคมเสมอ และเป็นรองโฆษกกองทัพบกด้วย จึงขอให้เป็นตัวแทนพูดถึงวีรกรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เสียเลย
        
       
       “ความรู้สึกของผู้บังคับบัญชา พอได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาทำอย่างนี้ ผมรู้สึกดีมากเลยนะ เห็นครั้งแรกในเฟซบุ๊ก รู้สึกเลยว่าน่าชื่นชมเว้ย! นายทหารกลุ่มนี้ ผมโทร.ไปเช็คเลย อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร อยู่สังกัดไหน ตอนนี้ทางกองทัพบกกำลังทำเรื่องออกหนังสือชมเชยจากผู้บัญชาการทหารบกลงไปยังนายทหารเหล่านี้อยู่ครับ เพื่อตอบแทนน้ำใจของพวกเขา 
       ซึ่งจริงๆ แล้วผมว่านายทหารทั้ง 5 คนนี้เขาคงไม่อยากได้รางวัลอะไรหรอก เขาแค่ทำหน้าที่ในฐานะประชาชนธรรมดาๆ คนนึง แต่เผอิญว่าเขาดันใส่เครื่องแบบทหารอยู่เท่านั้นเอง ผมถามเขาแล้ว เราอยากจะนำเสนอว่าประชาชนทั่วๆ ไปก็สามารถทำความดีแบบนี้ได้เหมือนกัน ไม่งั้น เดี๋ยวคนจะนึกว่าเพราะเป็นทหารก็เลยต้องทำ ไม่ใช่ทหารก็ไม่ต้องทำสิ
        
       
       ผมเชื่อว่ายังคงมีคนทำความดีที่ยังไม่ถูกกล่าวถึงในสังคมอีกเยอะแยะมากมาย ผมเลยมองเรื่องการทำความดีแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือส่วนที่ทำความดี และส่วนที่สองคือส่วนที่ถูกนำเสนอความดีนั้น ก็ขอให้ทุกคนที่ได้ทำความดีต่างๆ ในสังคม อย่าย่นย่อท้อถอย ถึงแม้จะไม่ได้ถูกนำเสนอว่าตัวเองได้ทำความดี แต่ขอให้เรื่องดีๆ ที่ทำเป็นความดีโดยบริสุทธิ์ใจ ทำโดยจิตสำนึก ถึงแม้ว่าไม่มีใครเห็น ไม่ได้ออกสื่อ แต่อย่างน้อยคุณก็ได้ความสบายใจ ได้มีความสุขกับตัวเอง 
       ผมยังเชื่อเสมอว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ยังเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นจริง ไม่เคยเชื่อคำพูดที่ว่า “ทำดีแล้วไม่ได้ดี”เลยครับ 
        
       
       ทุกคนสามารถทำความดีให้กับสังคมได้ แค่ต้องมีความเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวเราเองก็อยู่ในส่วนรวมของสังคมนั้นด้วย การที่เราทำเพื่อส่วนรวมก็เหมือนกับการทำเพื่อตัวเองนั่นแหละครับ
        
       
       ส่วนถ้อยคำยกย่องว่าทหารคือ “ฮีโร่” นั้น ผู้พันเบิร์ดก็ได้แต่ยิ้มรับด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติในฐานะทหารหาญนายหนึ่ง และฝากความรู้สึกบางมุมเอาไว้ว่า

ทหารคือฮีโร่
               
       “สำหรับคำๆ นี้ ผมรู้สึกประเด็นเดียวเลยคือ มันเป็นความแนบชิดสนิทสนมที่เกิดมากขึ้นระหว่าง “ทหาร” กับ “ประชาชน” ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เราก็ทำมาตลอดแหละครับ เพียงแต่ประชาชนอาจจะยังไม่รู้สึก ยังไม่ได้เห็น ยังไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของกองทัพ พอเขายกย่องถึงขนาดให้ทหารเป็น “ฮีโร่” ก็แสดงว่า เขาได้เห็นบทบาทและหน้าที่ มีความเข้าใจทางกองทัพมากขึ้นแล้ว 
       โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา มันเป็นเหตุการณ์ที่คนได้รับผลกระทบในวงกว้าง และผลกระทบเหล่านั้นมันเกิดขึ้นใกล้กับศูนย์กลางของประเทศ ทำให้ใกล้กับสื่อมวลชน เลยทำให้คนเห็นมากขึ้น ก็รู้สึกขอบคุณประชาชนที่ยกย่องเราขนาดนี้
        
       
       อะไรเป็นแรงขับเคลื่อนให้เหล่าทหารทั้งหลายลุกขึ้นมาทำความดีให้แก่สังคมครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย? ผู้พันเบิร์ดนิ่งคิดกับคำถามนี้สักพัก แล้วบอกเล่าตามความรู้สึกของตัวเอง
        
       
       “อย่างคำปฏิญาณตอนเช้าๆ ตัวผมเองตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียน ต้องเดินแถวไปเรียนหนังสือ เราจะปฏิญาณว่า “นักเรียนนายร้อยเป็นสุภาพบุรุษของชาติ ฉะนั้น จะต้องซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ กล้าหาญ รู้หน้าที่ มีวินัย” พอกล่าวคำปฏิญาณเสร็จปุ๊บ เราก็หยิบกระเป๋าและเดินแถวไปเรียน 
       จบมาแล้ว ทหารแต่ละหน่วยก็จะมีการปฏิญาณตอนเช้า หลังร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีว่า“ข้าพเจ้าจะยอมตายเพื่ออิสรภาพและความสงบสุขแห่งประเทศชาติ จะอยู่ในศีลธรรมของศาสนา และเป็นมิตรที่ดีของประชาชน” เราจะพูดอย่างนี้เป็นประจำ
        
       
       หรืออย่างเพลงที่ร้องว่า (ร้องเป็นเพลงให้ฟัง) “ใครบ้างเหวย จะร่วมสู้กับกูบ้าง ใครบ้างเหวยจะร่วมสร้างชายใจหาญ ใครบ้างเหวยจะลดสุขสนุกสำราญ ใครบ้างเหวยจะละสุขเพื่อไทยคง” แล้วก็อีกหลายเพลง แล้วก็คำขวัญต่างๆ ติดอยู่ตามขื่อคาน ติดอยู่ตามห้องน้ำบ้าง (หัวเราะ) 


       สิ่งเหล่านี้ผมว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มกำลังใจและปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ ผมว่าอะไรแบบนี้แหละที่ช่วยปลูกฝังและหล่อหลอมพวกเรา ให้เราพร้อมอยู่เคียงข้างประชาชน ทหารทุกนาย เราไม่เคยแยกออกจากประชาชนอยู่แล้ว อยากให้เราช่วยเรื่องอะไร ขอให้บอกมาเถอะครับ เราเต็มใจทำด้วยความยินดี” 
       


ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น